ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ 7 พ.ย.56 สมเด็จฯ ฮุน เซน ออกแถลงการณ์ ผ่านสถานีโทรทัศน์แห่งชาติกัมพูชา โดยรายละเอียดมีดังนี้ พี่น้องชนร่วมชาติที่เคารพที่รัก ในวันจันทร์ที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ จะออกประกาศของศาล ตามข้อเสนอของพระราชอาณาจักรกัมพูชาที่ได้ขอให้ตีความคำตัดสิน วันที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๐๕ เกี่ยวกับคดีปราสาทพระวิหาร
ฮุนเซน ยิ่งลักษณ์
กระผมขอใช้โอกาสนี้ เพื่อถวายพระเถรานุเถระทุกพระองค์ และแจ้งชนร่วมชาติทั้งหมด เกี่ยวกับประวัติคดี ดังนี้
หลังจากทหารไทย ได้เข้ายึดครองปราสาทพระวิหาร เมื่อปีพุทธศักราช ๒๔๙๗ และการพยายามหาทางแก้ไขด้วยสันติวิธี โดยไม่บรรลุผลสำเร็จในหลายปีที่ผ่านมา กัมพูชาก็ได้ยื่นฟ้องไปยังศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ เพื่อแก้ปัญหาข้อพิพาทนี้
โดยยึดถือตามความจริงและกฎหมาย โดยเฉพาะแผนที่แนบท้าย ๑ มาตราส่วน ๑ : ๒๐๐,๐๐๐ ที่จัดทำขึ้นโดยคณะกรรมการร่วมฝรั่งเศส – สยาม เมื่อวันที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๐๕ ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ได้ประกาศ
คำตัดสิน ๓ ข้อ คือ
๑. ปราสาทพระวิหารตั้งอยู่ดินแดนภายใต้อธิปไตยของกัมพูชา
๒. ไทยมีหน้าที่ถอนทหาร ตำรวจ และผู้ดูแลอื่นอีก ที่ประจำการอยู่ในปราสาท และ
อยู่โดยรอบปราสาทในดินแดนของกัมพูชา
๓. ไทยมีหน้าที่ต้องส่งคืนวัตถุโบราณทั้งหลายที่เจ้าหน้าที่ไทยได้นำออกจากปราสาท
พระวิหาร หรือจากพื้นที่ปราสาทในห้วงที่ไทยยึดครองปราสาทพระวิหาร ตั้งแต่ปี ๒๔๙๗ เป็นต้นมา ให้แก่กัมพูชาตั้งแต่มีคำตัดสินของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ปี พุทธศักราช ๒๕๐๕ เป็นต้นมา
ข้อพิพาทระหว่างกัมพูชากับไทยเกี่ยวกับปราสาทพระวิหารได้ลดลง และไม่มีการขยายวงกว้างเป็นที่น่าสนใจแต่อย่างใด
แต่ข้อพิพาทในพื้นที่ปราสาทพระวิหารได้เริ่มร้อนระอุอีกครั้ง เมื่อวันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๕๑ ภายหลังจากทหารไทยได้เข้ามาในดินแดนกัมพูชา บริเวณวัดแกวสิกขาคีรีสวาระ ภายหลังจากปราสาทพระวิหารได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก เมื่อวันที่ ๗ กรกฎาคม ๒๕๕๑ ตามข้อเสนอของกัมพูชา ความขัดแย้งได้เพิ่มความรุนแรงยิ่งขึ้น กระทั่งมีการปะทะด้วยอาวุธจำนวนหลายครั้ง ได้ก่อให้เกิดผลกระทบต่อชีวิตมนุษย์ ทรัพย์สิน ของประชาชน โดยเฉพาะกระทบต่อปราสาทพระวิหารอีกด้วย
โดยพิจารณาเห็นว่า การใช้กลไกทวิภาคี และพหุภาคี เพื่อแก้ไขปัญหานี้ ไม่มีประสิทธิภาพ และการปะทะกันด้วยอาวุธตามแนวชายแดนกัมพูชา – ไทย ยังเกิดขึ้นอยู่นั้น ในวัตถุประสงค์ยุติข้อพิพาทนี้โดยสันติวิธีสอดคล้องตามการดำเนินการของนานาประเทศ และตามเป้าหมายในการรักษาความสัมพันธ์เป็นประเทศใกล้เคียงที่ดี และความร่วมมือที่แนบแน่นระหว่างประเทศและประชาชนของประเทศทั้งสองกัมพูชา – ไทย
เมื่อวันที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๕๔ รัฐบาลกัมพูชาได้ยื่นคำฟ้องไปยังศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ เสนอให้ออกคำสั่งมาตรการชั่วคราว เพื่อยุติการปะทะด้วยอาวุธ และเสนอขอให้ตีความในความหมายและขอบเขต ของคำตัดสิน วันที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๐๕ ด้วย เนื่องจากเห็นว่า ข้อพิพาทที่เกิดขึ้นอีกในพื้นที่ปราสาทพระวิหารนี้ เกิดขึ้นจากการตีความแตกต่างกันระหว่างกัมพูชากับไทย
ในความหมายและขอบเขตของคำตัดสินปี ๒๕๐๕ มีผลคือ เมื่อวันที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๕๔ ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศได้เห็นชอบตามข้อเสนอของกัมพูชา ออกคำสั่งมาตรการชั่วคราว โดยให้ภาคีทั้งสอง ถอนทหารออกจากเขตปลอดทหารชั่วคราว พื้นที่ ๑๗.๓ ตารางกิโลเมตร พร้อมทั้งเห็นชอบรับพิจารณาตามข้อเสนอของกัมพูชาขอให้ตีความคำตัดสิน ปี ๒๕๐๕
ด้วยเหตุนี้ กระผมขอชี้แจงอีกครั้ง ถวายพระเถรานุเถระ และชนร่วมชาติทุกคนให้ทราบว่า การที่รัฐบาลกัมพูชาเสนอขอให้ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศตีความคำตัดสินปี ๒๕๐๕ นั้น ไม่ใช่เพื่อสุมไฟเพิ่มความขัดแย้ง หรือ มีความต้องการ แย่งชิงดินแดนจากประเทศใกล้เคียงแต่อย่างใด ในทางตรงกันข้าม รัฐบาลเห็นว่า การดำเนินการนี้ เป็นแนวทางหนึ่งที่เต็มไปด้วยประสิทธิภาพและจำเป็นที่สุดเพื่อภาคีทั้งสอง สามารถก้าวไปสู่การยุติปัญหานี้โดยสันติวิธี ในการเคารพกฎหมายระหว่างประเทศ การเคารพอธิปไตย และบูรณภาพแห่งดินแดนซึ่งกันและกัน และการรักษาความสัมพันธ์เป็นประเทศใกล้เคียงที่ดี รัฐบาลกัมพูชายึดมั่นใจจุดยืนอย่างเคร่งครัดในความพยายามสร้างเส้นเขตแดนที่ชัดเจน และเปลี่ยนพื้นที่ชายแดนกัมพูชากับประเทศใกล้เคียงให้เป็นพื้นที่ชายแดนสันติภาพ มิตรภาพ ความร่วมมือ และการพัฒนา เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวนี้
กระผม กับ ฯพณฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แห่งพระราชอาณาจักรไทย มีจุดยืนที่สอดคล้องกันว่า ถึงแม้ว่าคำตัดสินของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ในวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ ข้างหน้านี้ ออกมาเช่นไรก็ตาม ประเทศทั้งสองต้องเคารพตามคำตัดสินนี้ และพยายามรักษาสันติภาพ และเสถียรภาพ ตามแนวชายแดนให้ได้ ในความหมายนี้ กระผมขอเรียกร้องกำลังเจ้าหน้าที่ทุกประเภทที่กำลังปฏิบัติภารกิจป้องกันชายแดนขอให้รักษาความสงบเรียบร้อย ยึดมั่นในความอดทน และหลีกเลี่ยงการดำเนินการต่าง ๆ ที่อาจสร้างความตึงเครียด หรือเกิดการปะทะกันในที่สุด
และกระผมก็ขอเรียกร้องถึงพระเถรานุเถระทุกพระองค์ พี่น้องชนร่วมชาติทุกคน ขอให้อยู่ในความสงบ ร่วมรักษาความมั่นคงและความสงบเรียบร้อยภายในประเทศ เช่นเดียวกับการรักษาและยกระดับความสัมพันธ์เป็นประเทศใกล้เคียงที่ดี มีความสามัคคี มิตรภาพ ความผาสุก และความร่วมมือที่แนบแน่นยิ่งขึ้นระหว่างประชาชนทั้งสองกัมพูชา – ไทย เพื่อผลประโยชน์ร่วมของประชาชาติ
ทั้งสองฝ่าย ทั้งต่อหน้าและระยะยาวในอนาคตต่อไป ขอขอบพระคุณ ขอขอบคุณ
MThai News