สิ่งสำคัญที่เด็กๆควรจะได้รับ คือ โอกาส โอกาสที่จะได้เรียนรู้อย่างเท่าเทียมกัน
“
ความเสมอภาคทางการศึกษา ” เน้นความเสมอภาคระหว่างเด็กจากครอบครัวที่มีฐานะแตกต่างกัน ได้แก่
• โอกาสเข้าถึง ที่เท่าเทียมกัน
• โอกาสเรียนจบ ที่เท่าเทียมกัน
• โอกาสได้
งานทำ ที่เท่าเทียมกัน
• โอกาสมีรายได้ ใกล้เคียงกัน
แนวทางการส่งเสริมความเสมอภาคทางการศึกษาขั้นพื้นฐาน ยังเป็นการดำเนินงานที่แยกส่วน องค์กรที่เกี่ยวข้องดำเนินงานโดยขาดความรู้ความเข้าใจ จึงมีหลายกลุ่ม หลายโรงเรียนพยายามส่งเสริมให้เกิดความเสมอภาคทางการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยการส่งเสริมให้เกิดเครือข่ายความร่วมมือในระดับสังคม เพื่อช่วยให้การพัฒนาโครงสร้างการศึกษาในทุกๆ ด้าน มีความเสมอภาค และเกิดความสมบูรณ์ของบุคคลากร และสังคมอย่างยั่งยืน
ผลกระทบของความไม่เท่าเทียมทางการศึกษา ได้แก่
• ไม่มีความเสมอภาคในการเรียน (Educational inequality) และเข้าไม่ถึง (Inaccessibility)
• การถูกตราบาป (Stigmatization)
• คนชายขอบ (Marginalized group)
• เกิดองค์กรที่อ่อนแอ (Weaker sector)
โดยเฉพาะในกลุ่มนักเรียน 3 กลุ่ม คือ
1. เด็กที่พร่องทางการเรียนรู้ขาดครูเฉพาะทางและโปรแกรมการเรียนเฉพาะ
2. เด็กตาบอดขาดสื่อการเรียนในการเรียนร่วมกับเด็กปกติ
3. โรงเรียนขนาดเล็กมีครูจำนวนน้อย ครูไม่ใช่คนในพื้นที่ มีภาระงาน
มาก และโรงเรียนไม่ได้มีผู้บริหารตัวจริงทำให้โรงเรียนขาดการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
โครงการผู้นำเพื่อการพัฒนาการศึกษาที่ยั่งยืน (CONNEXT ED) จึงถือกำเนิดขึ้นเพื่อเป็นอีกหนึ่งพลังในการขับเคลื่อนการพัฒนาการศึกษาพื้นฐานของประเทศไทยอย่างมีระบบ เป็นการทำงานร่วมกันระหว่าง 3 ภาคส่วนคือ ภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม โดยผู้บริหารระดับสูงของ 12 องค์กรจะทำหน้าที่เป็น School Sponsor หรือเป็นผู้สนับสนุนหลัก ให้คำปรึกษาด้านยุทธศาสตร์พร้อมงบประมาณ ให้แก่ School Partners ซึ่งคัดเลือกจากบุคลากรในองค์กรที่เป็นผู้นำรุ่นใหม่ มีอุดมการณ์ มีจิตสาธารณะ และผ่านการอบรมหลักสูตรผู้นำ เพื่อทำหน้าที่สนับสนุนและร่วมวางแผนพัฒนาโรงเรียน เป็นกุญแจสำคัญในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงร่วมกับผู้บริหารการศึกษาที่เข้าร่วมโครงการประชารัฐ 3,342 โรงเรียนทั่วประเทศในระยะแรก (ภายในปี 2559) และจะขยายครบ 7,424 โรงเรียนในทุกตำบลทั่วประเทศ ภายใน 3 ปี (สิ้นปี 2561)
12 องค์กรเอกชนผู้ร่วมก่อตั้งโครงการ CONNEXT ED มีดังนี้
1. บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น
2. บมจ.ธนาคารไทยพาณิชย์
3. บมจ.ธนาคารกรุงเทพ
4. บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย
5. บมจ.ปตท.
6. บมจ.ไทยเบฟเวอเรจ
7. บจ.น้ำตาลมิตรผล
8. บมจ.ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์
9. บจ.กลุ่มเซ็นทรัล
10. บมจ.เบอร์ลี่ ยุคเกอร์
11. บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร
12. บมจ.ซีพีออลล์
โครงสร้างคณะทำงานสานพลังประชารัฐด้านการศึกษาพื้นฐานและการพัฒนาผู้นำ (E5)
10 ยุทธศาสตร์ในการยกระดับการจัดการศึกษาไทยในศตวรรษที่ 21
“1 ปีที่ผ่านมา โครงการสามารถช่วยลดความเหลื่อมล้ำ ด้วยการยกระดับให้นักเรียนเข้าถึงชุดอุปกรณ์ไอซีที และสื่อมัลติมีเดียเพื่อการเรียนรู้ ซึ่งเชื่อมโยงองค์ความรู้จากทั่วทุกมุมโลกสู่ 39,829 ห้องเรียนอัจฉริยะ ได้อย่างทัดเทียมกับโรงเรียนในเมืองใหญ่ อีกทั้งส่งเสริมการเรียนการสอนที่มุ่งเน้นเด็กนักเรียนเป็นศูนย์กลาง (child centric)”
นอกจากนี้ยังสร้างเด็กดี และเด็กเก่ง749,349 คน ควบคู่กับการปั้นคุณครูมืออาชีพ 36,397 คน พร้อมกับส่งเสริมศักยภาพผู้อำนวยการโรงเรียน 3,351 คนเพื่อเตรียมความพร้อมในการจัดการศึกษา สำหรับศตวรรษที่ 21 ซึ่งภาคเอกชนได้ร่วมสนับสนุนงบประมาณกว่า 310 ล้านบาท ในการพัฒนาโรงเรียน 3,351 แห่ง
ศุภชัย เจียรวนนท์” ประธานคณะผู้บริหารเครือเจริญโภคภัณฑ์ และประธานคณะกรรมการบริหาร บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น ในฐานะหัวหน้าทีมภาคเอกชน โครงการสานพลังประชารัฐ ด้านการศึกษาพื้นฐานและการพัฒนาผู้นำ กล่าวว่า
สำหรับปีนี้ เราจะขยายการดำเนินงานไปยังโรงเรียนอีก 1,400 แห่งเมื่อรวมกับโรงเรียนประชารัฐในปัจจุบันก็จะเป็น 4,700 กว่าโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการ ถ้าเราสามารถขับเคลื่อนโรงเรียนเหล่านี้ได้ดี และมีกลไกที่แข็งแรง จะเป็นเหมือนโดมิโนที่สามารถสร้างผลกระทบไปยังโรงเรียนอื่น ๆ และทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้ ซึ่ง school partners มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการทำให้โดมิโนเกิดขึ้น”
ทั้งนี้จะมีการชักชวนบริษัทในกลุ่ม SET 100 ให้เข้ามามีส่วนร่วม เพื่อขยายจำนวน school partners ในการขับเคลื่อนการศึกษาไทยให้มีความเข้มแข็งต่อไป
