ก่อนอื่นต้องบอกว่า “ออร์แกนิค” ไม่ใช่ “ธรรมชาติ” เพราะสินค้าออร์แกนิคมีขั้นตอนการผลิตที่ต้องดูแลอย่างใกล้ชิด ตั้งแต่การเตรียมดินในการเพาะปลูก เพราะดินอาจมีสารเคมีปนเปื้อนอยู่ ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลาเตรียมดินนานถึง 3 ปี หรืออาจจะนานกว่านั้น และยังต้องดูสภาพแวดล้อมในการเพาะปลูกให้ปราศจากมลพิษอีกด้วย ขั้นตอนการเพาะปลูกไม่สามารถให้ปุ๋ยที่เป็นสารเคมีได้ ไม่สามารถตัดต่อพันธุกรรม และไม่สามารถใช้ฮอร์โมนเร่งการเติบโตได้ เมื่อถึงเวลาเก็บเกี่ยวผลเพื่อเอาไปแปรรูปเป็นสินค้าออร์แกนิค ผู้ผลิตก็ยังต้องควบคุมการผลิต และวัตถุดิบอื่นๆ ให้คงความเป็นออร์แกนิคด้วย ทั้งนี้จะต้องมีองค์กรมาตรฐานออร์แกนิคเข้ามาควบคุม ดังนั้นสินค้าออร์แกนิคจึงเป็นสินค้าที่ปลอดภัยมากกว่า และปราศจากสารพิษ ไร้สารเคมี
หากเป็นสินค้าธรรมชาติ ไม่จำเป็นต้องมีองค์กรใดๆมารับรองมาตรฐาน ไม่ต้องเตรียมดินในการเพาะปลูก สามารถปลูกในสภาพแวดล้อมใดก็ได้ เป็นการเพาะปลูกให้เติบโตตามธรรมชาติ โดยที่ไม่จำเป็นต้องควบคุมคุณภาพการเพาะปลูกและการผลิตมากมายนัก
หนึ่งในองค์กรที่น่าเชื่อถือสำหรับมาตรฐานออร์แกนิคนั้นก็คือ USDA กระทรวงเกษตร ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งจะต้องได้การรับรองและมีใบประกาศนียบัตรเท่านั้นถึงจะสามารถติดฉลาก USDA บนสินค้าได้
โดยมาตรฐานออร์แกนิคของ USDA มี 3 ระดับ
100-95% ออร์แกนิค จะได้รับการประทับตราและใบประกาศนียบัตรจาก USDA และสามารถนำตรา USDA มาติดบนฉลากสินค้าได้
95-70% ออร์แกนิค จะเป็นเพียงสินค้า Made with organic ingredients ไม่สามารถนำตรา USDA มาติดบนฉลากสินค้าได้
ต่ำกว่า 70% ออร์แกนิค จะเป็นเพียงสินค้า Some organic ingredients ไม่สามารถนำตรา USDA มาติดบนฉลากสินค้าได้
วิธีการตรวจสอบสินค้า ทำได้ง่ายๆดั้งนี้
เข้าเว็บไซต์ https://organic.ams.usda.gov/Integrity/
พิมพ์ชื่อโรงงาน หรือผู้ควบคุมารผลิตในช่อง Operation
ดูชื่อผลิตภัณฑ์ในช่อง Handling
เพียงเท่านี้ก็สามารถรู้ได้แล้วว่าสินค้าออร์แกนิค แตกต่างจากสินค้าธรรมชาติยังไง นอกจากนี้ก็อย่าลืมตรวจสอบสินค้าที่ติดตรา USDA บนฉลากสินค้าด้วยนะคะ